7 ผลไม้น้ำตาลน้อย เบาหวาน ทานได้หายห่วง
อยู่ในช่วงควบคุมระดับน้ำตาล แต่ชอบกินหวานสุดๆ ผลไม้ช่วยได้นะ แต่รู้ไหมว่าผลไม้หลายชนิดอุดมไปด้วยน้ำตาลที่สูงปี๊ดเลยทีเดียว แม้จะเป็นน้ำตาลจากธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้ดีต่อสุขภาพ ถ้ากินเยอะเกิน แต่ก็ยังมีผลไม้อีกหลายประเภทที่มีน้ำตาลน้อยมาก แถมยังให้พลังงานต่ำอีกด้วย เปิดลิสต์ 7 ผลไม้น้ำตาลน้อย เบาหวาน ทานได้หายห่วง เหมาะกับสายสุขภาพ รวมถึงคนที่ต้องการลดน้ำหนัก
ใครที่อยู่ในช่วงคุมระดับน้ำตาล รวมถึงสายไดเอทที่กำลังหั่นน้ำหนัก ชอบกินผลไม้อร่อยๆ แต่ก็กลัวน้ำตาลจะพุ่งสูงปี๊ด ไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป เพราะเรามีลิสต์ “ผลไม้น้ำตาลน้อย เบาหวาน ทานได้หายห่วง” มาฝากทุกคน ความหวานช่วยเติมพลังความสดชื่นให้กับร่างกายได้อย่างมากมาย ทำให้เรากระปรี้กระเปร่า อารมณ์ดี ความหวานไม่ได้อันตรายเลย ถ้าเรากินในปริมาณที่พอเหมาะไม่มากจนเกินไป
7 ผลไม้น้ำตาลน้อย มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และช่วยบำรุงผิวชุ่มชื่น สุขภาพดี
1 – แตงโม
แตงโมเป็นผลไม้ที่เข้มข้นไปด้วยน้ำ รวมถึงวิตามินานาชนิด อาทิ วิตามินเอ วิตามินบีรวม รวมถึงเส้นใยอาหาร ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิวได้อย่างดีเยี่ยม และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง พร้อมชะลอกระบวนการแก่ชรา โดยเฉลี่ย แตงโม 1 ถ้วยตวง มีน้ำตาลประมาณ 10 กรัม เท่านั้นเอง
2 – ส้ม
แม้จะมีรสชาติหวานอร่อยชื่นใจ แต่รู้ไหมว่า ส้มเป็นผลไม้ที่มีแคลลอรี่ และน้ำตาลน้อยมาก แถมยังเข้มข้นไปด้วยวิตามินซี ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพสารพัด ช่วยลดสารอนุมูลอิสระ เสริมภูมิคุ้มกัน พร้อมลดการอักเสบของหลอดเลือด และยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนให้แข็งแรง ทำให้ผิวแลดูสดใส เฟิร์มกระชับ ไม่คล้ำหมอง ส้ม ผลขนาดกลาง มีน้ำตาลประมาณ 12 กรัม และมีแคลลอรี่ ประมาณ 70 แคลลอรี่
3 – อาโวคาโด
อาโวคาโดอีกหนึ่งผลไม้ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ และวิตามินานาชนิด อาทิ วิตามินซี วิตามินเค และวิตามินบี ซึ่งวิตามินเหล่านี้ล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพสารพัด ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) พร้อมเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย อาโวคาโดสด 1 ลูก มีน้ำตาลเพียง 1 กรัม เท่านั้นเอง
4 -แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ลถือเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่สายสุขภาพมักจะมีติดตู้เย็นไว้เสมอ เพราะเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารนานาชนิด อาทิ วิตามินเอ วิตามินบีรวม แคลเซียม โพแทสเซียม สังกะสี และธาตุเหล็ก ไม่เพียงแค่นี้นะ แอปเปิ้ลยังเข้มข้นไปด้วยเส้นใยอาหาร แต่มีน้ำตาล และพลังงานที่น้อยมาก แต่ควรกินแอปเปิ้ลเป็นลูก แทนกินน้ำแอปเปิ้ล
5 – ลูกพลัม
พลัมเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารหลากชนิด อาทิ วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินเค แคลเซียม และแมกซียม ขอกระสิบเลยว่าคนที่กำลังสร้างกล้ามเพาะกาย ควรทานเป็นประจำเลยนะ เพราะสารอาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ พร้อมเสริมสร้างกล้ามเนื้อในคราเดียวกัน พลัมยังเหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมน้ำตาล เพราะพลัม 1 ผล มีน้ำตาลเพียง 7 กรัม
6 – สาลี่
สาลี่เข้มข้นไปด้วย น้ำ เส้นใยอาหาร และวิตามินเค มีน้ำตาลน้อย ให้พลังงานต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาล รวมถึงสายไดเอทที่ต้องการลดน้ำหนัก สาลี่ยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ประเภท polyphenol antioxidants มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ พร้อมต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น ช่วยควบคุมความดันเลือดสูง พร้อมลดความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ
7 – กีวี
กีวีถูกยกให้เป็น “superfood” อุดมไปด้วยสารอาหารหลากชนิด อาทิ วิตามินซี วิตามินเค วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant ) สารอาหารเหล่านี้ล้วนจำเป็นต่อระบบการทำงานต่างๆในร่างกายของเรา มีส่วนช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญพลังงาน และเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง กีวี 1 ลูก มีน้ำตาลเพียง 6 กรัม เท่านั้นเอง ด้วยเหตุนี้กีวีจึงกลายเป็นผลไม้คู่กายของสายลดน้ำหนักไปโดยปริยาย
ผลไม้ทั้ง 7 ชนิดนี้ นอกจากน้ำตาลจะน้อยแล้ว ยังเข้มข้นไปด้วยแร่ธาตุ และวิตามินนานาชนิด ช่วยบำรุงทั้งสุขภาพและผิวพรรณหลายประการ อย่างเช่น แตงโม อุดมไปด้วยน้ำ มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื่น นุ่มนวลให้แก่ผิว ลดปัญหาผิวแห้ง วิตามินซีจากส้ม และ อาโวคาโด ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสียหายของเซลล์ต่างๆในร่างกายจากอนุมูลอิสระ วิตามินซียังช่วยฟื้นฟูผิวหมองคล้ำ ทำให้ผิวแลดูสดใสขึ้น
คำแนะนำ : ผลไม้ 7 ชนิด ข้างต้น เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย และให้พลังงานต่ำ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาล อย่างไรก็ตาม ปริมาณการทานผลไม้ในแต่ล่ะครั้งของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป บางคนทานน้อย ในขณะที่บางคนอาจทานเยอะโดยไม่รู้ตัว อาจส่งผลถึงระดับน้ำตาลที่มากเกินไป กรณีที่มีโรคประจำตัวในกลุ่มที่ต้องหลีกเลี่ยงน้ำตาล เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำปริมาณการกินที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัย
อ้างอิงข้อมูลผลไม้:
www.timesofindia.indiatimes.com
www.healthline.com
www.everydayhealth.com